วันอาทิตย์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

นักชิมน้ำส้มสายชู



เราได้อ่านบทความหนึ่ง มีความรู้สึกว่าอาจจะเป็นประโยชน์ต่อพวกเราก็ได้ มันเป็นภาพวาดภาพหนึ่งที่มีชาย 3 คนยืนล้อมรอบถังน้ำส้มสายชูใบใหญ่ถังหนึ่ง ชายแต่ละคนได้เอานิ้วจุ่มลงไปในถังและลองชิมรสของมัน พวกเขาแต่ละคนมีสีหน้าแตกต่างกันไป ชาย 3 คนนี้ไม่ใช้นักชิมน้ำส้มสายชูธรรมดา แต่เป็นตัวแทนของ " ศาสดาแห่งคำสอนทั้งสามของจีน" และน้ำส้มสายชูก็เป็นตัวแทนสะท้อนแก่นแท้ของชีวิต ทั้ง 3 ท่านได้แก่ ท่านขงจื๊อ พระพุทธเจ้า และท่านเล่าจื๊อ(ผู้แต่งคัมภีร์เต๋าเล่มเก่าแก่ที่สุดที่มีอยู่)

ท่านแรกเมื่อชิมก็มีสีหน้าบูดบึ้ง ท่านที่สองมีสีหน้าขมขื่น แต่ท่านที่สามมีสีหน้ายิ้มแย้ม

สำหรับขงจื๊อ ท่านเห็นว่าชีวิตมีรสชาติออกเปรี้ยว เพราะท่านเชื่อว่ายุคปัจจุบันไม่ได้สอดประสานกลมเกลียวกันเลยกับสมัยอดีต การปกครองของมนุษย์ก็ไม่ได้สอดคล้องกับวิถีแห่งการปกครองของจักรวาลเลย ดังนั้นท่านจึงเน้นพิธีกรรมการบูชาบรรพบุรุษ และแบบแผนประเพณีโบราณ ซึ่งจักรพรรดิต้องเป็นผู้กระทำ เพราะท่านเป็นโอรสแห่งสวรรค์

สำหรับพระพุทธเจ้า บุรุษคนที่สองในภาพเขียน ท่านเห็นว่าชีวิตบนโลกนี้มีรสขม ทั้งยังรุ่มร่ามรุงรังไปด้วยความยึดติดและความอยากได้ใคร่มี อันนำไปสู่ความทุกข์ โลกมนุษย์ถูกมองว่าเป็นสถานที่แห่งกับดักอันมากมาย เป็นบ่อเกิดของภาพลวงตา และเป็นกงล้อที่หมุนวนเอาทุกขเวทนาทั้งปวงมาสู่สรรพสัตว์ เพื่อแสวงหาความสงบสันติที่แท้จริงของชีวิต ชาวพุทธจึงจำเป็นต้องไปให้ถึงความพ้นทุกข์ แต่ชาวพุทธผู้มีศรัทธาแรงกล้ามักเห็นว่า หนทางสู่นิพพานมักถูกกระแสลมอันขมขื่นของการใช้ชีวิตแต่ละวันขัดขวางให้ไป ไม่ถึงมันอยู่เสมอ

ส่วนท่านเล่าจื๊อเชื่อว่า ความสอดคล้องกลมเกลียวอันมีอยู่ตามธรรมชาติระหว่างสวรรค์กับโลก ซึ่งดำรงอยู่นับแต่โลกกำเนิดขึ้นนั้น มนุษย์ทุกคนอาจพบเจอได้ทุกขณะจิต โลกจึงควรดำเนินไปด้วยกฏการปกครองแบบเดียวกับสวรรค์ มิใช่ด้วยกฏเกณฑ์ของมนุษย์ ยิ่งมนุษย์เข้าไปแทรกแซงสมดุลของธรรมชาติเท่าไหร ก็ยิ่งทำให้เกิดปัญหา ท่านเล่าจื๊อบอกว่าโลกไม่ใช่สถานที่ที่วางกับดักมากมายแก่มวลมนุษย์ แต่โลกเป็นครูผู้สอนบทเรียนอันมีค่าแก่เรา ซึ่งเราจำเป็นต้องเรียน และปฏิบัติตัวไปตามกฏเกฑ์ของโลก มันจะทำให้ทุกสิ่งดำเนินไปได้ดวยดี (จากหนังสือ "เต๋าแบบพูห์)

เพราะฉะนั้น ถ้าหากเราใช้ชีวิตให้สอดคล้องกับธรรมชาติ เราก็จะมีมุมมองโลกที่เข้าใจโลก

2 ความคิดเห็น: