วันอังคารที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2552

หัวใจนักรบ





บททดสอบ ... หัวใจนักรบ


โดย ธนัญธร เปรมใจชื่น

คอลัมน์ ณ พรมแดนแห่งความรู้ โพสต์ทูเดย์ ฉบับวันที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๕๒

ปี ใหม่ เป็นช่วงเวลาที่เรามักคิดถึงการเริ่มต้นสร้างสรรค์ความดีงามบางอย่างในชีวิต ฉันก็เช่นกัน ปีใหม่นี้ฉันมีเวลาได้ใคร่ครวญตนแทนการสังสรรค์เช่นปีผ่านๆ มา ปีที่แล้วมีเรื่องราวมากมายที่ไหลบ่าเข้ามา หลายเรื่องราวสะกิดเตือนผู้คนถึงความยากที่จะเกิดขึ้นในชีวิต ก่อเกิดแรงบันดาลใจอันลึกซึ้งและยิ่งใหญ่ในความรับรู้ที่มี

“จะนำพาผู้คนสู่วิถีแห่งความสุขและการวิวัฒน์ของจิตวิญญาณให้มากที่สุดเท่า ที่จะทำได้ ด้วยช่องทางที่กว้างขึ้น เข้าถึงได้ง่ายขึ้น” ฉันบอกกับตนเอง

งานแรกของปีเริ่มต้นขึ้นด้วยความตื่นเต้น แม้จะทำกระบวนการมามากเท่าไรก็ตาม ฉันกลับรู้สึกว่าแต่ละงานนับแต่นี้ จะพิเศษกว่าที่ทำผ่านมาและมีบางอย่างคอยท่าฉันอยู่ บางอย่างที่เป็นการเติมเต็มแก่จิตวิญญาณฉันเอง มิตรที่ฝึกตนมาด้วยกันยังแซวบ่อยๆ ว่า ... “โดนแน่ เตรียมใจไว้ได้เลย” ... แล้วก็โดนจริงๆ

ประเดิมกับงานแรก เป็นการจัดกระบวนการให้กับครูอาจารย์จากทั่วประเทศเกือบสองร้อยคน งานนี้หินทั้งในมุมของปริมาณผู้เข้าร่วมที่จำนวนมากยากแก่การเข้าถึงถ้วน ทั่วแล้ว การทำกระบวนการเรียนรู้ให้คนอาชีพครูนี่ไม่ง่ายเลย คนจัดงานถึงกับออกตัวบอกกล่าวไว้ก่อนงานเริ่มว่า ... “พวกครูอาจเข้าร่วมไม่ครบนะ” เพราะเป็นอย่างนี้ทุกปีที่จัดงาน ฉันรับทราบพร้อมบอกกับตนเองว่า เราจะดูแลคนที่เข้าร่วมให้ดีที่สุด บอกทีมและตนเองให้เตรียมชุดที่เรียบร้อยที่สุด และสุภาพที่สุดสำหรับงานนี้ ฉันอยากให้เราช่วยกันดูแลผู้คน งานนี้ฉันขุดกระโปรงที่ดูมีอายุ สีขรึมออกงานทุกวันเลย แต่แค่เริ่มวันแรก พอพิธีเปิดงานจบลง เราก็เหลือครูอยู่เข้าร่วมประมาณร้อยกว่าคนนิดๆ ส่วนตัวแล้วฉันไม่ได้คิดเรื่องนี้เลยในตอนแรก เพราะพยายามหล่อเลี้ยงตนเองให้เป็นปกติในการดำเนินกิจกรรม

แม้จะสังเกตเห็นอยู่ว่า มีครูแวบหายเป็นช่วงๆ แต่ฉันและทีมงานก็เห็นพ้องกันว่า กิจกรรมได้รับความสนใจดีจากผู้ที่อยู่ร่วม มีครูหลายคนเข้ามาสอบถามเพิ่มเติม วันที่สองเนื้อหาเข้มข้นขึ้น เริ่มมีเรื่องที่ไปสะกิดตัวตนของผู้คน ฉันเริ่มเห็นว่าคล้ายเป็นราวกระแสน้ำใต้ดินที่รอโอกาสปะทุ ฉันจึงเตรียมไว้ว่า คืนนี้จะเปิดพื้นที่สำหรับคำถามเกี่ยวกับกระบวนการต่างๆ ตลอดจนความติดขัดใดๆ ถ้ามี

แต่ก่อนจะถึงช่วงเวลาที่เตรียมไว้ ระเบิดก็แตกก่อนเวลาที่คิด นั่นแปลว่ามันไม่ใช่ระเบิดที่เราเตรียม มีการติดต่อขอใช้เวลาประชุมครูครึ่งชั่วโมงก่อนเริ่มกระบวนการเรียนรู้โดย ครูในกลุ่มนั่นเอง ผ่านไปห้าสิบนาที คนจัดงานเริ่มกระสับกระส่ายมาถามฉันว่า จะเอาอย่างไรดีดูท่าจะไม่จบง่ายๆ และดูรุนแรงกันขึ้นเรื่อยๆ ด้วย

ฉันขอเข้าไปดูก่อนจะตัดสินใจ พอเข้าไป ภาพแรกที่เห็นทำให้ฉันไม่แปลกใจเลยที่การประชุมนี้ไม่มีท่าทีว่าจะยุติลง ง่ายๆ คนบนเวทีก็พูดไปเรื่อย เธอพยายามผลักดันให้มีการเลือกตั้งประธานครูและคณะทำงาน ผ่านการเล่าว่าโปรเจ็คห้าสิบล้านที่ได้เงินมาบอกให้ทำอะไรบ้าง ส่วนคนฟังก็จับกลุ่มหันมาคุยกันเองราวสิบกลุ่ม ทุกกลุ่มเสียงดังแข่งกับไมค์บนเวที มีคนลุกออกเดินผ่านที่ฉันยืนอยู่ ส่ายหัวให้ บ่นปวดหัว บ้างถึงกับเดินมายุฉันให้ยึดเวทีเลย การฟังอย่างลึกซึ้งที่จัดกระบวนการไปแสดงผลชัดแจ้งอย่างน่าใจหาย หลายคนที่ไม่คุ้นหน้าในกระบวนการอบรม ก็มาปรากฏตัวตอนนี้ด้วย แปลกไหมล่ะ ทีมจัดการเข้าไปกระซิบคนบนเวทีขอให้ยุติชั่วคราว คนบนเวทีเลยหันมาถามคนฟังว่า เราจะเลือกกันเลยดีไหม มีคนยกมือขอพูด เขาชี้แจงว่า ในเมื่อยังไม่เข้าใจบทบาทที่มานี่เลยว่าต้องทำอะไร เพราะมีครูใหม่ที่ไม่เคยมาร่วมเยอะ แล้วจะให้เลือกได้อย่างไร มีคนยกมือพูดสนับสนุนคนที่เพิ่งพูดไปอีกสองคนด้วยสำนวนเผ็ดร้อนราวกับอยู่ใน สภาก็ไม่ปาน นี่ยังไม่รวมพวกที่ไม่รอไมค์ ที่ตะโกนพูดใส่ ประชดประชันกัน สุดท้ายผู้จัดก็ยึดไมค์ได้สำเร็จ แล้วเชิญให้ฉันดำเนินกระบวนการต่อ

ถึงตอนนี้ฉันขอให้ทุกคนมารวมกัน และเงียบรอเสียงสุดท้ายที่คุยกับคนข้างๆ จะเงียบลง มีหลายคนออกไปโจ้กันต่อนอกห้องประชุม ความเงียบกลับมาปกคลุมห้องอีกครั้ง ฉันแสดงความคิดเห็น ชวนให้สังเกตว่าเมื่อครู่เราพูดคุยกันอย่างไร การสนทนาที่ล้มเหลวเกิดเพราะอะไร จากนั้นก็บอกเล่าว่า ฉันเตรียมอะไรไว้สำหรับคืนนี้ “คำถาม” ที่ไม่เกี่ยวกับการประชุมเมื่อครู่ แต่เป็นเรื่องของกระบวนการ แต่น้ำก็เชี่ยวเกินจะขวางกั้น คำถามที่ฉันรอฟังมีเพียงการแสดงความคิดเห็นต่องาน คำตำหนิ ตัดพ้อ วิจารณ์ คนจัดงาน ตัวฉันและกระบวนการเรียนรู้โดยคนที่คุกรุ่นจากการประชุมเมื่อครู่

ทำไมไม่มีการชี้แจงเรื่องบทบาทหน้าที่ของครูที่มา ไม่ให้รายละเอียดกระบวนการก่อน วิทยากรแต่งตัวไม่ให้เกียรติไม่เรียบร้อย กิจกรรมเหมาะกับคนเข้าวัดไม่เหมาะกับงาน ให้นอนกลางวันเป็นเด็กอนุบาล ฯลฯ ฉันพยายามฟังทั้งหมด อธิบายกลับไปได้บ้าง แต่ประโยคเก่าก็ยังถูกวนพูดซ้ำ มีอีกกลุ่มที่พยายามยกมือพูดด้วยอาการโกรธเคืองคนที่ต่อว่าฉัน ก่อนที่จะเกิดจลาจลไปมากกว่านี้ ฉันจึงกล่าวขอโทษ และขอจบ รวมทั้งขอตัวด้วย มีคนตะโกนขอร้องฉัน พยายามบอกว่าฉันไม่ผิด อย่าไปฟังพวกนั้น ฉันขอบคุณพวกเขา แต่เลือกที่จะออกไปก่อน คืนนั้นมีคนห่วงความรู้สึกฉันมาก หลายคนพยายามเข้ามาดูแล แต่ฉันอยากอยู่คนเดียว

ฉันยอมรับกับตนเองที่หน้ากระจก บอกกับภาพสะท้อนของตัวเองว่า ฉันโกรธ เสียใจ และรู้สึกดีที่มีคนเข้าข้างฉัน คนสองคนนั้นพูดคำว่าเคารพชื่นชมบางเรื่องของฉัน ก่อนการวิจารณ์ที่ดูเป็นถ้อยคำที่รู้สึกถึงการดูแคลน แทนการจมจ่อมกับความเศร้า ฉันถามตัวเองว่า ในเมื่ออะไรเกิดขึ้นแปลว่าดีเสมอ แล้วครั้งนี้ล่ะ อะไรที่ดีสำหรับฉัน ฉันหยิบหินที่ครูของฉันมอบให้แทนพลังแห่งคุรุมากำไว้ เสียงจากห้วงคำนึงสะท้อนขึ้นภายใน “แรงเสียดทานแค่นี้รับไม่ไหว แล้วจะทำการใหญ่ได้อย่างไร” ฉันยิ้มกับตัวเอง น้ำตาร่วง พูดกับตัวเองซ้ำๆ “เข้าใจแล้วค่ะ ขอบคุณมากค่ะ ... เข้าใจแล้ว” ช่วงนั้นเองที่ความสงบประหลาดแล่นผ่านตัว

เช้าวันต่อมา มีเพียงคำว่าพร้อมในหัวใจ คนจัดถามว่าฉันจะทำต่อไหม ฉันตอบรับ และขอให้เขาเปิดการชี้แจงเรื่องบทบาทหน้าที่ของครูกับงานเอกสารที่ครูกังวล ก่อน จากนั้นฉันเปิดวงถาม-ตอบอีกครั้ง หลายคำถามโยงสู่ความต่างระหว่างพวกเขากับเด็ก หรือครูด้วยกัน

ฉันบอกพวกเขาว่า “เราไม่อาจสร้างกฎกติกาใดมาควบคุมให้เราเหมือนกัน มันเป็นธรรมชาติของเราเอง หากเราไม่ทำงานกับการเปิดกว้างภายในของเราเอง ที่จะยอมรับกับความต่างที่เกิดขึ้น จะมีใครเชื่อบ้างว่าชุดแต่ละชุดที่ใส่ตลอดงานนี้ ดิฉันได้เตรียมมาอย่างดี ให้ดูเรียบร้อยที่สุด ดูสิแค่คำว่าเรียบร้อยของเราก็ต่างกันแล้ว และไม่ใช่เรื่องถูกผิด เพียงแต่เราจะอนุญาตให้เราอยู่ร่วมกับความแตกต่างได้อย่างไร เรื่องเสื้อผ้านี่ยังเล็กนะคะ ต่างทางความคิดความรู้สึกยิ่งซับซ้อน นี่เรากำลังพูดถึงสังคม การเมือง โลกเลยนะคะ ความขัดแย้งมากมายเพียงเพราะเราต่างกัน”

ฉันยังขอบคุณเรื่องเมื่อคืนที่ช่วยให้ฉันได้ทำงานกับตนเอง ฉันเล่าให้ผู้เข้าร่วมฟังว่าฉันคุยกับตัวเองอย่างไร

ในเวลาสั้นๆ กลับผูกพันคนในทีมงานได้เท่านี้ ปัญหามันดีตรงนี้แหละ มันทำให้เราใกล้กันมากขึ้น ความกลัว ความกังวล ช่วยให้เราได้สัมผัสความเปราะบางในกันและกัน เพราะยิ่งเห็นความเปราะบางของเพื่อนมากเท่าไร ยิ่งพบความแกร่งในเขามากเท่านั้น

เผชิญหน้ากับตัวเอง


คอลัมน์ ณ พรมแดนแห่งความรู้ โพสต์ทูเดย์ ฉบับวันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๕๑


เผชิญหน้ากับตัวเอง

โดย ธนัญธร เปรมใจชื่น



จะ ทำอย่างไรดี หากคุณตื่นขึ้นมาแล้วพบว่า คุณเป็นเพียงคนเดียวที่หลงเหลืออยู่ในครอบครัวของคุณ เป็นคนเดียวในหมู่บ้านที่คุณรัก เป็นคนเดียวในประเทศที่คุณคือประชากรร่วม เป็นคนเดียวของโลกอันกว้างใหญ่ที่อาจไกลเกินจะพบใครอีกสักคนที่หลงเหลืออยู่ เฉกเช่นเดียวกันกับคุณ ไม่มีใครให้ตกหลุมรัก ไม่เหลือใครให้ทะเลาะ เกลียดชัง ไม่ต้องแคร์ หรือวิตกว่าใครจะคิดกับคุณอย่างไร มองคุณแบบไหน ไม่ต้องเอาใจใคร และจะไม่เหลือใครเลยคอยเอาใจคุณ คุณยังไม่ต้องแข่งขันกับใครอีกด้วยเพราะคุณจะได้เป็นทั้งผู้ชนะและผู้แพ้ ตลอดกาล จะทำอย่างไรดีล่ะ...

คุณว่า...คุณจะดำรงอยู่กับสภาวการณ์ที่มิอาจคาดฝันเช่นนี้ได้อย่างไร?

เหมือน เรากำลังยืนอยู่ตรงรอยต่อของการเปลี่ยนแปลง เบื้องหลังเราเป็นวิถีอันคุ้นชิน เป็นประสบการณ์ที่ถูกบ่มเพาะสั่งสมตลอดชีวิตที่ผ่านมา เป็นชุดความคิดและบทสรุปที่เรามีให้กับตัวของเราเอง เป็นคำอธิบายโลกรอบตัว ซึ่งขึ้นอยู่กับการเรียนรู้และประสบการณ์ที่บ่มเพาะเรามา ส่วนเบื้องหน้านั้นเป็นความพร่ามัวด้วยม่านหมอกของความไม่รู้ อาจแลเห็นบางสิ่งปรากฏอยู่ลางเลือนตามความคิดฝันในชีวิต และการกำหนดรู้บาง เรื่องราวที่เป็นเหตุเป็นผลกับประสบการณ์ที่เราเพิ่งจะย่ำผ่านมา

มัน เหมือนกับการที่เราสนทนากันและบอกเล่าเรื่องราวของชีวิต แต่ละบทตอนที่ผ่านมา บ่อยครั้งมันยังแจ่มชัดกับตัวเรา แม้ในปัจจุบันขณะที่เล่า ทั้งที่เรื่องราวก็ล่วงเลยมาแล้ว และ บางครั้งเราเองก็ช่วยสร้างภาพของเรื่องราวจนคมชัดในความคิดคำนึงของผู้ ฟังด้วยเช่นกัน

แต่การบอกเล่าถึงอนาคตของเราแต่ละคน มักเต็มไปด้วยความกังวลกับความไม่แน่นอนที่จะเกิดขึ้น หรือบางครั้งก็กลายเป็นความเพ้อฝันไปสำหรับผู้ฟัง เพราะพื้นฐานประสบการณ์และชุดความคิดที่แตกต่างกันไป

เหนืออื่นใด ชีวิตเมื่อเริ่มต้นแล้ว มันไม่มีการหยุดดำเนินต่อ แม้บางครั้งเราจะรู้สึกว่าเราหยุดแล้ว แต่โลกรอบตัวเราก็ยังคงเคลื่อนดำเนินต่อไป หรือเราเองนี่แหละที่เคลื่อน แต่คิดว่าเราหยุด เป็นความซับซ้อนระหว่างโลกภายนอกกับโลกภายในของเรานี้เอง ความคิดความเชื่อทำงานของมันจนทำให้เรายากแก่การเข้าถึงการรับรู้ที่แท้

เรา ต่างคงเคยได้ยินคำทำนายทายทักมามากมาย ที่บอกกล่าวถึงสภาวะของโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลง ภัยพิบัตินานาที่จะคร่าชีวิตผู้คน ที่จะนำความสูญเสียใหญ่หลวงมาสู่ ทั้งผู้รู้จากอดีตและผู้รู้ที่ร่วมชะตาในปัจจุบัน

ลำดับแรกของการ รับฟังของเรานั้น เรารับรู้อย่างไร ความสั่นคลอนภายในของเราเองนี้ อาจกำลังร้องขอหาข้อพิสูจน์เพื่อยืนยันความ จริงแท้แก่ใจของเรา ความจริงแท้ที่เราเองมิอาจเข้าถึง เพราะเรามีเพียงภาพอันสลัวลางของความไม่รู้ห่มทับ และความกลัวที่แฝงตัวอยู่ในจิตของเราก็ผลักดันให้ผู้พิทักษ์ ตัวตนอันหาญกล้าของเราเข้ามาช่วยให้ เราก้าวผ่านเรื่องราวที่กำลังรับรู้นี้ ด้วยการปกป้องความสั่นไหวของเรา เราจึงอาจหัวเราะเยาะ หรือประณามการรับรู้ที่ได้มาให้เป็นแต่เพียงความงมงาย และเมื่อมันงมงาย เพ้อเจ้อ เราก็ไม่จำเป็นต้องรับเอาคำบอกเล่านั้นเก็บไว้ในกล่องความเชื่อของเรา

แม้ กระทั่งวันที่เราได้รับรู้ว่ามีการพยายามหาเครื่องไม้เครื่องมือ เป็นวิวัฒนาการที่สามารถบ่งชี้ หาข้อพิสูจน์ ในนามวิทยาศาสตร์ ตามฐานกรอบประสบการณ์ที่เรายอมรับจากการเรียนที่ปลูกฝังมาในระบบการเรียนรู้ ของเราเอง เราส่วนใหญ่ก็ยังหาบทสรุปจำเพาะของตนเอาว่า มันยังมาไม่ถึงเรา หรืออื่นๆ ต่างๆ นานากันไป

การรับรู้ของเราถูกบีบให้เล็กและแคบลง จนไม่น่าแปลกใจเลยที่ยังมีคนจำนวนมากเฉยเมยต่อข่าวภาวะโลกร้อน เพราะความเป็นจริงที่ดำรงอยู่กับเราตอนนี้คือ กายของเราเย็นสบายทุกวันในห้องแอร์ น้ำมันจะหมดโลกก็มีเสียงคนมากมายบอกว่า เดี๋ยวก็มีพลังงานใหม่มาให้ใช้ เราวางใจว่าจะต้องมีคนดิ้นรนมากกว่าเรา อย่างน้อยก็ธุรกิจยักษ์ใหญ่ทั้งหลาย แล้วเราก็ก้มหน้าทำงานหาเงินต่อไปไว้ซื้อพลังงานรูปแบบใหม่ที่จะมีมา

เมื่อ วานฉันไปทานข้าวเย็นกับเพื่อนๆ แต่ไม่มีใครรู้ข่าวหายนะภัยที่เกิดขึ้นในพม่าประเทศเพื่อนบ้านเราเลย ทั้งที่ภัยพิบัติครั้งนี้คร่าชีวิตไปหลายหมื่นคน

ถึงที่สุดแล้ว ฉันไม่คิดว่าจะมีใครสามารถตอบใครอย่างชี้ชัดได้ว่า จะเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตคุณหรือฉันในวันพรุ่งนี้และวันต่อๆ ไป ฉันเคยคิดเคยออกแบบบ้านเป็นเรือตอนที่เกิดชุดความเชื่อใหม่เข้ามาในหัวว่า น้ำจะท่วมโลก แต่แล้วไม่นานการเตรียมพร้อมนั้นก็ค่อยๆ จางซาไป เพราะฉันคงไม่มีปัญญาสร้างเรือที่บรรทุกคนได้มากมายนัก และถ้าหากฉันถูกเลือกให้รอด ฉันก็จะรอดเอง แต่สิ่งที่ฉันเริ่มคิดที่จะเตรียมในตอนนี้ ก็คือการเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นในทุกขณะจิต เปิดพื้นที่การรับรู้ให้กว้างขึ้น ผ่านการรับรู้ความจริงแท้ภายในตนเอง

มันแทบไม่น่าเชื่อเลยว่า ในแต่ละวันในชีวิตของเรานี้ เราดำรงอยู่กับภาพลักษณ์ทั้งภายในและภายนอกที่เราสร้างขึ้นเสียมากมาย จนเราแทบไม่รู้ว่าอะไรคือความจริงแท้ภายในตนเอง เราหลอกคนมากมาย แต่น้อยกว่าที่เราหลอกตัวเราเองหลายเท่านัก ยิ่งฝึกตนเรากลับยิ่งติดอยู่กับความรู้และความดีเพียงน้อยนิด เราประณามความน้ำเน่า ไม่สร้างสรรค์ของละครโทรทัศน์ แต่เรากลับยืนอยู่ในจุดที่ไม่ต่างกันนัก

ลองย้อนกลับไปที่จุด เริ่มต้นของบทความนี้อีกครั้ง มันอาจฟังดูคล้ายฉากหนังบางเรื่อง แล้วเราเชื่อได้อย่างไรกันว่าเราจะไม่มีโอกาสเช่นนั้น มันอาจเป็นเพียงฝันร้าย ที่เราตื่นขึ้นมาน้ำตานองหน้า หวั่นหวาดกลัว โหยหาคำปลอบประโลม ที่ย้ำกับเราว่ามันเป็นเพียงแค่ฝันร้าย แต่ถ้าหากมันเป็นจริงล่ะ เราจะดำรงอยู่อย่างไร เราจะเผชิญหน้ากับสภาวะเช่นนั้นอย่างไรกัน

วันอาทิตย์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

คนผู้กล่าวถ้อยคำ


โดย: อภิชาติ ไสวดี


ใช่ที่ว่าโลกมีด้านมืดและเลวร้าย
ซ่อนเงื่อนงำมากมายต่อการค้นหา

มีเหลี่ยมคูมีสันคมคอยชักพา
ให้เราหลงติดมายาถลำตัว

ผู้ซึ่งอาจมองเห็นความจริงโลก
หรือเพียงคิดคำแต่งโศลกบอกดีชั่ว

กระตุ้นเตือนด้วยถ้อยคำอันน่ากลัว
ว่าอย่าได้เมามัวในกลอุบาย

แล้วอย่างไรกันเล่าที่กล่าวบอก
ขู่คุกคามตะคอกอย่างโหดร้าย

ก่นด่าว่าผู้คนยังงมงาย
ฤาห่าเหี้ยไม่ห่างหายจากถ้อยคำ

เข้าใจได้ว่าอยากเปลี่ยนหัวใจมนุษย์
ให้เป็นความบริสุทธิ์สู่มิติลึกล้ำ

ให้เรียนรู้ แสวงหาให้จดจำ
จึงพร่ำบอกจึงตอกย้ำอยู่ร่ำไป

แต่จะเป็นไปได้อย่างไรกัน
เมื่อเคียดแค้นจนตัวสั่นจนหวั่นไหว

กราดเกรี้ยวเคี้ยวเข็ดปะทุไฟ
ถ้อยคำก็ว่างไรจากความงาม

เหลือความสาแก่ใจในคั่งแค้น
ไม่เหลือเปลือกเหลือแก่นให้ไถ่ถาม

หรือมีเหลือเศษซากแห่งถ้อยความ
ที่โน้มนำคนฝ่าข้ามไปเรียนรู้

จะเปลี่ยนโลกด้วยความก้าวร้าว
ก็ดูเหมือนโง่เขลาอย่างไรอยู่

มีความจริงหรือคิดเอาพอเฝ้าดู
ก็เหมือนคำข้างข้างคูคูอยู่แค่นั้น

หรืออาจใช้ความอ่อนโยนของถ้อยคำ
และอ่อนน้อมเพื่อน้าวนำอย่างสร้างสรรค์

ด้วยรักด้วยเข้าใจด้วยแบ่งปัน
ด้วยความงามที่มอบให้กันอย่างเข้าใจ

อาจเพียงความอ่อนโยนอันจริงแท้
ที่พอจะเปลี่ยนแปรมนุษย์ได้

ก้าวไปสู่การเติมเต็มจากภายใน
เพื่อเรียนรู้ความหมายใหม่อันงดงาม

การเดินทางในอาณาจักรแห่งใจ



การเดินทางในอาณาจักรแห่งใจ
เขียนโดย อภิชาติ ไสวดี
พฤหัสบดี, 05 กุมภาพันธ์ 2009



การเดินทางในอาณาจักรแห่งใจ

“ทำไม” เข้าใจว่า นี่เป็นคำถามแรกที่ผุดขึ้นมาในชีวิต ในกระบวนการเรียนรู้ และการเติบโตของผู้คนส่วนใหญ่ ว่าก็เมื่อเริ่มรู้จักกับการตั้งคำถาม หรือเริ่มสงสัยใครรู้เรื่องราวในชีวิต
พี่ชายคนหนึ่งเคยเล่าให้เรา ฟัง เมื่อคราวที่เราขึ้นดอยไปอยู่ในหมู่บ้านปกาเกอะญอใหม่ๆ ว่า เมื่อแรกเข้ามาอยู่หมู่บ้านบนดอย ในฐานะปัญญาชนจากเมือง ไม่นานนักกับการสัมผัสรู้จักชุมชนมากขึ้น เขาก็พบกับภูมิปัญญาอันลึกล้ำ ของผู้คนบนดอย ความรู้ ภูมิปัญญาที่สอดคล้องกับวิถีชีวิต กับธรรมชาติ เมื่อนั้นเขาพบว่า เขาช่างมีความรู้อยู่น้อยนิดเหลือเกิน จากปัญญาชนในเมืองจึงกลายมาเป็นผู้เรียนรู้วิถีชีวิต นานวันเข้า ยิ่งอยู่นาน ยิ่งเรียนรู้มากเท่าไหร่ เขาก็พบว่า ความรู้ที่เขาเพิ่มพูน มีมากขึ้นนั้น เขาก็ยิ่งรู้น้อยลงทุกที เมื่อเทียบกับเรื่องราวที่ได้รับฟังรับรู้มากขึ้นประหนึ่งว่ามันจะไม่มีวัน จบสิ้น
การเดินทางอันยาวนานของชีวิตเรา มักมีเส้นทางคู่ขนานกันอยู่เสมอ นั่นก็คือหนทางภายนอก กับหนทางภายใน นั่นก็คืออาณาจักรอันกว้างใหญ่ไพศาลในใจของเรา
หนทางภายนอกนั้น ว่าไปมันไม่มีความสลับซับซ้อนมากมายนัก มีบ้างบางครั้งหรอกกระมังหากมันเป็นเส้นทางใหม่ของชีวิต เราอาจต้องใช้เวลากับมัน อาจหลงทาง ให้ได้ค้นหา แต่ทั้งหมดนั้น เราก็พบทางออกเสมอ เราพบหนทางที่เราต้องการเสมอ แต่ที่ยากก็คือ หนทางในอาณาจักรภายในต่างหาก ที่หลายครั้ง เราต่างเดินทางไปอย่างไม่ได้รู้ตัว เมื่อไหร่ที่เริ่มรู้ตัว สิ่งแรกๆ ที่เราจะเริ่มรู้สึกก็คือ กลัว เราไม่แน่ใจว่าในอาณาจักรอันกว้างใหญ่ไพศาลนั้นเราจะพบอะไรบ้าง ทั้งหมดมันอาจลึกลับ แล้วสิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาก็คือ คำถาม ว่าก็โดยเฉพาะคำว่า “ทำไม”

เมื่อเรารู้ว่า หนทางภายในนั้น นำมาซึ่งการเติบโตทางจิตวิญญาณ แม้ว่าทั้งหมดนั้นเราดำเนินไปบนความเสี่ยง ความไม่แน่ใจ แต่ทุกครั้งที่ก้าว ทุกคราวที่พบ นั่นมันหมายถึงความก้าวหน้าทางจิตวิญญาณนั่นเอง สำคัญที่สุดของการเดินทางนั้น ไม่ได้อยู่ที่การกล้าเผชิญกับสิ่งที่เราพบหรอกกระมัง แต่สิ่งที่สำคัญที่เราต้องเผชิญ ก็คือ ความกลัว

เสรีภาพในกรงขังแห่งจิตวิญญาณ


เสรีภาพในกรงขังแห่งจิตวิญญาณ
เขียนโดย อภิชาติ ไสวดี
พฤหัสบดี, 15 มกราคม 2009



พบ ผู้คนมากมายตามท้องถนน ในการเดินทางบนถนนสายเล็กๆ ของเรา พวกเขาทั้งหลายล้วนกำลังเดินทาง ตามหาเสรีภาพของตน บางคนในหมู่พวกเขาได้ปลดปล่อยพันธนาการมากมายในชีวิต พวกเขาปราศจากครอบครัว ไม่มีบ้าน เลี้ยงชีพด้วยการทำงานเล็กน้อย และเดินทาง ด้วยพวกเขาบอกว่า นั่นคือหนทางแห่งเสรีภาพ

ผู้คนมากมาย พยายามสลัดพันธนาการทั้งหลายออกไปจากตัวเอง ด้วยก็เชื่อว่านั่นคือวิธีที่จะได้ก้าวไปสู่เสรีภาพ

คำ ถาม เกิดขึ้นจากการพบเห็นทั้งหลายนั้นว่า แท้จริงแล้วพวกเขาได้ค้นพบ และดำรงอยู่อย่างเสรีหรือไม่ พวกเขารู้สึกสมหวังดังปรารถนาหรือไม่ การเดินทางของเขาหลังจากนั้นคือการเดินทางอย่างอิสระ เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข ดำรงอยู่อย่างมีความหมาย งดงามหมดจด หรือแท้จริงแล้ว พวกเขาทั้งหลายก็ยังเอาแต่หา ค้นหา สิ่งที่พวกเขาเรียกมันว่า เสรีภาพ

คนอื่น คนรอบข้าง ครอบครัว การงาน ภาระ หน้าที่ ถนนหนทาง รถรา สรรพสิ่งทั้งมวลนี้หรือเปล่าที่ถูกป้ายความผิดว่า มันทำให้พวกเขาทั้งหลายไม่ได้พบอิสระ มันเป็นพันธนาการที่ปิดกั้นหนทางของพวกเขา นอกจากมันฉกฉวยเวลาไปแล้ว มันยังกักขังความฝันของพวกเขาไว้ด้วย ชีวิตเขาจึงจ่อมจมอยู่กับความทุกข์ ต่อความอดทนอย่างหนักต่อการเผชิญภาวะที่ทำให้พวกเขาไม่สามารถออกเดินทางไป สู่เสรีภาพ

หากชีวิตของคนผู้หนึ่ง ดำรงอยู่ร่วมกับผู้คนอย่างมีความหมาย ความเรียบง่ายของชีวิตช่วยให้เขาไม่เหนื่อยมากนักต่อการหาเลี้ยงชีพ แต่กระนั้นก็ยังทำให้เขาสามารถดูแลผู้คนใกล้ชิดได้หลายคน แล้วเวลาก็ยังเหลือพอสำหรับการพบปะสนทนา เขาอาจไม่ใช่คนเดินทางตะลอนท่อมท่องไปตามถิ่นทางต่างๆ มากนัก แต่ทุกๆ ที่ๆ เขาไป ล้วนมีความหมายต่อความฝันต่อจินตนาการและแรงบันดาลใจ เขายังมีทุกข์อยู่มากตามประสาปุถุชน แต่เขาก็อยู่กับมันอย่างเข้าใจ และเขาสามารถเผชิญกับเงื่อนไขสถานการณ์ที่เป็นไปอย่างรู้เท่าทัน เข้าใจ และสามารถรอคอย ชีวิตเขาก็มีเรื่องผิดพลาดอยู่เสมอ บางครั้งถ้อยคำ และการกระทำของเขาก็ทำร้ายคนอื่นโดยไม่ตั้งใจ หรือบางครั้งความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ทำให้หลายเรื่องหลายคนกระทบกระเทือน เกิดความเสียหาย แต่เขาก็พยายามเสมอที่จะเรียนรู้มัน เพื่อที่เขาจะสามารถแก้ไขมัน และเบียวยาส่วนที่เสียหายไปบ้างแล้ว

ใน การดำรงอยู่ตามเงื่อนไขสถานการณ์ ภาพที่ปรากฏก็คือ เขาสามารถปลดพันธนาการจิตวิญญาณของเขา เงื่อนไขทางเศรษฐกิจ และสังคมอาจไม่เกื้อหนุนให้เขาโบยบินไปได้ไกลนัก แต่เขาก็มีความสุข

เรา ต้องเดินทางไกลเพียงใด เราต้องสลัดทิ้งผู้คนมากมายเพียงใด เราต้องเรียกร้องจากโลกมากมายเพียงใด เราต้องทนทุกข์ และเหน็ดเหนื่อยปานใด กว่าเราจะได้พบเสรีภาพตามความฝัน ตามที่ปรารถนา

หาก เรายังพันธนาการจิตวิญญาณของเราเองด้วยความขลาดเขลาเสียแล้ว ไม่ว่าเราจะออกเดินทางไปไกลเพียงใด เสรีภาพก็อาจเป็นสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง

รักคือคำตอบ



เขียนโดย ธนัญธร เปรมใจชื่น
จันทร์, 05 มกราคม 2009


...............................................................

หายใจเข้าลึกๆ แลหายใจออกยาวๆ ผ่อนคลาย

วางใจในพื้นที่แห่งนี้ วางใจในตนเองเถิด

ถือโอกาสอันสงบนี้ บอกรักร่างกายของเราเองผ่านลมหายใจ

หายใจเข้าให้ลึก ให้ทุกลมหายใจเข้าของเราไปถึงอวัยวะส่วนต่างๆ

เพื่อทักทาย ขอบคุณ และให้อวัยวะนั้นได้รับรู้ความรักของเราที่มี


หายใจเข้าลึกๆ หายใจออกยาวๆ อ่อนโยน ละเมียดละไมต่อลมหายใจของเรานี้

เป็นความงดงามที่หล่อเลี้ยง ประคับประคองชีวิตของเรา

การรับและการให้ ดำรงอยู่กับเราตั้งแต่แรกเริ่มของการมีชีวิต ก่อนการบ่มเพาะใดๆ เสียอีก

ในทุกๆ ลมหายใจเข้าของเรา มีลมหายใจของพ่อแม่พี่น้อง

ลมหายใจของสรรพสิ่ง มีลมหายใจของทั้งผู้เป็นที่รักและผู้ที่เราเกลียดชัง

ทุกลมหายใจของเขาเหล่านั้น หล่อเลี้ยงอยู่ในร่างกายของเรานี้

และในทุกๆ ลมหายใจออกของเรา เราก็ได้ส่งมอบสิ่งต่างๆ ที่หล่อเลี้ยงในตัวเรา

แก่เขาเหล่านั้น แก่สรรพสิ่ง...เช่นกัน

ด้วยลมหายใจที่มี ที่เชื่อมโยงตัวเรากับโลกรอบตัวนี้ เรามิอาจเป็นอื่น...นอกจากลมหายใจเดียวกัน


หายใจเข้าลึกๆ หายใจออกยาวๆ ส่งผ่านความรักและปรารถนาดีแก่กันและกัน

ความโกรธและความเกลียดชังของเรากำลังทำลายความงามของโลก

จงให้พลังในตัวเราแปรเปลี่ยนความโกรธเกลียดในเขาและเรา

ผ่านการดำรงอยู่อย่างสงบด้วยลมหายใจ ให้รักเคลื่อนผ่านหัวใจทุกดวงด้วยรักเถิด

หายใจเข้าลึกๆ หายใจออกยาวๆ

..................................................

อยู่ๆ ลำนำบทนี้ก็ผุดพรายขึ้นมาในใจอีกครั้ง ถ้อยคำยังแจ่มชัด แม้เวลาจะล่วงเลยมา จำได้ว่าตอนนั้นฉันเป็นกระบวนกรจัดกระบวนการนำพาผู้คนเข้ามาเรียนรู้ด้านใน ของตนเอง เพื่อพวกเขาจะวิวัฒน์จิตวิญญาณของตน ความสงบและผ่อนคลาย นำพาถ้อยคำเหล่านี้ ไหลลื่นพร่างพรู ตอนนั้นเหมือนฉันไม่ได้พูดเพื่อพวกเขาเท่านั้น แต่ฉันก็ร่วมรับฟังและถูกนำพาไปด้วยเช่นกัน มันประทับอยู่ในใจ ยังเก็บกลับมาใคร่ครวญตนบ่อยครั้ง

เข้าใจด้วยความคิดนี่ช่างแตกต่าง จากการเข้าถึงมากมายนัก เพราะ ณ ขณะที่รับเอาสิ่งต่างๆ เข้ามา ความคิดคำนวณ ดึงประสบการณ์ (อันจำกัด) มาตอบรับ ดังนั้น คำว่า “ใช่” ในห้วงขณะหนึ่ง อาจมิใช่ “ใช่” ในทุกๆ ห้วงขณะ

แต่บททดสอบหรือบท เรียนแห่งชีวิตจะเดินหน้าเข้ามาให้เผชิญ ทันทีที่เราคิดจะเลือก ตัดสิน แม้แต่หลงรัก ชื่นชม ศรัทธา กับบางสิ่งบางอย่าง อย่างไม่เห็นความเป็นจริงในตนเอง ที่พูดเช่นนี้เพราะฉันเพิ่งประจักษ์ว่า เราหลอกตัวเองเก่งกว่าหลอกคนอื่นเยอะ และคนอื่นก็หลอกเราไม่เนียนเท่ากับที่เราหลอกตัวเองเลย

เหมือนคนหลง ตัว ฉันคิดและเชื่อเอามากๆ ว่า เพราะภายในอันดีงามของฉันนี่เอง และเพราะฉันเป็นผู้เข้าถึงสรรพสิ่ง ฉันถึงพร่างพรูลำนำเช่นนั้นออกมาได้ ยิ่งมีเสียงชื่นชมมากเท่าไร ฉันยิ่งหลงรักถ้อยคำของตนมากขึ้นเป็นเท่าตัว และยิ่งหลงรักถ้อยคำของตนมากเท่าไร ฉันก็ยิ่งเชื่อว่าฉันเป็นเช่นนั้นมากเท่านั้น และยิ่งฉันเชื่อว่าฉันเป็นสิ่งดีงามมากเท่าไร ฉันก็ยิ่งตัดสินโลกรอบตัวมากขึ้น มากขึ้นจนไม่รู้ว่าจริงๆ ฉันคือใคร เพราะภาพสะท้อนอื่นๆ พร่ามัว มีเพียงเสียงของความคิด... “ฉันคือความถูกต้อง ดีงาม”

โชคดีเหลือเกิน เกิดความขัดแย้งรุนแรงขึ้น เพื่อนรักที่เป็นทั้งมิตรและครูหันหลังให้อย่างไม่มีเยื่อใย เป็นปฏิกิริยาที่สั่นคลอนอัตตาอย่างดีเยี่ยม ลำนำบทเอกที่เคยประทับใจผุดขึ้นมาย้ำเตือน ทว่า หูฉันดับเสียแล้วกระมังยามนั้น ฉันกลับเริ่มมองลำนำรักบทนี้เป็นดั่งคำประโลมโลกที่มิอาจเป็นจริง ก็เราจะเป็นหนึ่งเดียวกับไอ้คนงี่เง่าที่หันหลังและเมินเฉยต่อความดีงามและ ถูกต้องได้อย่างไร รักอย่างไม่มีเงื่อนไขนี้ เป็นแต่เพียงความสวยหรู เป็นอุดมคติที่ไกลห่างความเป็นจริง ความเป็นจริงแสดงชัดว่าเราต่างกัน และเราไม่ได้รู้จักหรือเข้าใจกันจริงๆ เลย ระหว่างพร่ำบ่นก่นด่าอย่างชิงชังในใจ ฉันกลับยิ่งรู้สึกว่าส่วนลึกภายในฉันกำลังร้องไห้ วิญญาณของฉันเจ็บปวด และฉันจำต้องน้อมรับอย่างสัตย์ซื่อว่า ฉันเสียใจ ไม่ใช่เพราะฉันกำลังทำร้ายใคร แต่เพราะฉันกำลังทำร้ายตนเอง ในแว้บนั้นเอง ที่รู้สึกถึงความรักต่อตัวเองขึ้นมาจับใจ

ฉันเลือกที่จะเยียวยาตนจาก ทุกข์ครั้งนี้ ด้วยการลดกำแพงตน เผยทุกข์ที่มีให้เพื่อนคนนั้นฟัง เป็นการบอกกล่าวที่หมดจดที่สุด อ่อนโยนที่สุด และสุภาพที่สุดเท่าที่เคยพูดมา ราวกับลมหายใจเดียวกัน เพื่อนก็บอกกล่าวสะท้อนกลับแก่ฉันอย่างซื่อตรง และนุ่มนวลยิ่ง ไม่มีแม้สักคำเดียวที่กล่าวโทษต่อกัน ไม่มีคำว่าถูก – ผิด มีเพียงการรับรู้และเข้าใจ ณ ตรงนั้น ณ ขณะนั้นเอง ที่เราสัมผัสถึงการหลอมรวม

เราพูดคำ “รัก” กันมาก แต่มันเป็นราวกับม่านควันที่กางกั้นเราด้วยข้อแม้มากมายที่เราต่างยึดติด ยึดถือกัน ดังนั้น ณ ขณะที่เราพูดว่า “เพื่อใคร” ขอให้ดูใจตน เขากับเราเป็นลมหายใจเดียวกันหรือไม่ เราสืบค้น ขุดคุ้ยหาความจริงแท้ในผู้อื่นเสียมากมาย แล้วในหัวใจเราเองเล่า เราอนุญาตให้ความจริงแท้ของเราปรากฏออกมาได้มากน้อยเพียงไร นี่ยังไม่ได้พูดถึงความจริงที่เราไม่เคยรับรู้ว่ามันมีอยู่ในตัวเรานะ เพราะเราต่างสร้างแล้วกลบ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนเราเองไม่รู้ว่าอะไรคือความเป็นจริง เราไม่ชอบความเสแสร้ง แต่เราไม่เคยทันสังเกตพฤติกรรมของตนเลย

สิ่งที่เราคิดและปักใจไว้อาจ เปลี่ยนแปลงหรือคงอยู่อย่างประจักษ์ชัดมากขึ้น เมื่อความคิดมิได้เป็นแค่ความคิด หรือชุดคิด แต่การมีประสบการณ์ถึงสิ่งนั้นๆ มีค่ายิ่ง จะเป็นไรไปหากคุณจะพบว่าคุณทำพลาดมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน และมันยังไม่มีวี่แววว่าจะหยุดลง โปรดให้ประสบการณ์แต่ละครั้งที่ปรากฏเป็นดั่งหมายเหตุชีวิต ที่เราจะเรียนรู้และข้ามผ่าน...ขอให้รักนำทางไปเถิด

คอลัมน์ ณ พรมแดนแห่งความรู้ โพสต์ทูเดย์ ฉบับวันที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๕๑
ธนัญธร เปรมใจชื่น

ของขวัญจากการเดินทาง



เพิ่มกลับจากปาย จ.แม่ฮองสอนมาค่ะ กระเตงกันไปกับลุงเทาคันเก๋าของเรานี่เอง
ไปปายครั้งใด นอกจากจะตระเวนกินอาหารร้านหรูต่าง ๆ แล้ว ก็ทำทานกันเองที่บ้านเพื่อน
แต่มื้อพิเศษที่กบกับปัน (มิตรรักเจ้าของบ้านปายนา)อาสาเลี้ยงส่งคืนสุดท้าย มันสุดยอดมากกกก..

เป็นร้านเล็ก ๆ ชื่อ ป.ปลา ทั้งร้านดูแลโดยคุณตากับคุณยาย คุณยายทำอาหาร ส่วนคุณตาคอย
เสริฟและดูแลลูกค้า และช่วยหยิบจับในครัวบ้าง เนื่องจากกบมาสั่งอาหารล่วงหน้าตั้งแต่ 4 โมงเย็น
พอ 6 โมงพวกเรามาถึงอาหารก็ทยอยออกมา มีมานั่งก่อนเราโต๊ะหนึ่งแล้วฉันคิดว่าเขาคงไม่ได้สั่งอาหาร
คงมาดื่มเฉย ๆ เพราะเกือบชั่วโมงที่เขาสองคนนั่งคุยกันไป ในขณะที่เราก็กินไป

จนประมาณทุ่ม มีแขกเข้ามาอีกสองโต๊ะ เป็นคนรุ่นแรก ๆ ที่มาอยู่ปายทั้งนั้น พวกเขาดูชิว ๆ มาก
และดูแลยกอาหารเสริฟน้ำให้ตัวเองกัน อ้อ..ระหว่างที่ทั้งสองโต๊ะนี้มา มีพี่คู่หนึ่งมาสั่งข้าวกล่องสองกล่อง
เขารอ และก็ออกไปทำธุระ กลับมารอ แล้วก็ออกไปทำธุระอีก สามรอบค่ะ คุณคงคิดว่าคู่นี้คงหงุดหงิดมาก
เปล่าเลย ทุกครั้งที่กลับเข้ามาเขาก็พูดคำว่า "ไม่เป็นไรครับ-ค่ะ" และคุณตาก็จะบอกขอโทษซ้ำแล้วซ้ำเล่า
พระเจ้าช่วย ทุ่มกว่า โต๊ะที่มาก่อนเราถึงได้อาหาร แสดงว่าเขามากินจริง ๆ คุณตามาเสริฟพร้อมกับน้อมตัว
"ขอโทษนะครับ..ช้าเหลือเกิน..ขอโทษครับ ขอโทษจริง ๆ" แขกโต๊ะนั้นยิ้มอย่างอ่อนโยน บอกปัดว่า
"ไม่เป็นไรครับ ผมรอได้ ไม่เป็นไรจริง" ฉันมองสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นอย่างงง ๆ

ฉันเคยทำร้านอาหาร ฉันรู้สึกร่วมไปกับคุณตาคุณยายด้วย และคิดเอาเองว่า ภาวะเช่นนี้แกคงกดดันมาก
ก็อาจมีบ้าง แต่ภาพที่เห็นมันน่าทึ่งมาก แกสองคนยิ้ม เรื่อย ๆ ช้าาาา...แต่มีความสุข โอ..ใช่ ความสุข
แว้บนึง ฉันคิดถึงพูร์ ในวินนี่เดอะพูร์
พอเราทานเสร็จ เราช่วยกันเก็บจานชามไปไว้หลังร้านให้คุณตา คุณตายิ้มแย้ม "ขอบคุณครับ ขอบคุณมาก ๆ
ใจดีกันเหลือเกิน แขกแต่ละคนใจดีเหลือเกิน" แกพูดซ้ำ แล้วหันแตงโมมาแถมให้พวกเราอีก น่ารักมาก
มากไปกว่านั้นคือ แกทั้งสองช่วยทำให้เราและคนที่มาอุดหนุนแกได้เป็นทั้งผู้ให้และรับไปพร้อม ๆ กัน
บรรยากาศในร้านมันช่างต่างจากร้านทั่วไปมาก ฉันมองรอบตัว ปิติจนน้ำตามาออหน่วยตา
งดงามจริง ๆ ค่ะ